รีวิวหนัง ภารกิจตะลุยดาว
https://www.youtube.com/watch?v=omC2M8mQYO4
รีวิวหนัง ภารกิจตะลุยดาว
เมื่อจักรวาลกำลังเผชิญกับภัยร้ายอันเป็นผลมาจากการทดลองลึกลับของ คลิฟฟอร์ด แมคไบรด์ (ทอมมี ลี โจนส์) นักวิทยาศาสตร์ที่หายตัวไปกว่า 30 ปี ทำให้ รอย แมคไบรด์ (แบรด พิตต์) นักบินอวกาศลูกชายของเขาต้องออกเดินทางฝ่าอันตรายนานับประการเพื่อยับยั้งมหันตภัยครั้งใหญ่ที่กำลังก่อตัว
แม้ตัวอย่าง ดูหนังออนไลน์ จะพยายามขายฉากแอ็กชันตะลุยอวกาศกันแบบตูมตามหวังโกยเงินกันเต็มที่ แต่เนื้อแท้แล้วหนังของ เจมส์ เกรย์ ผู้กำกับที่เคยดังจากหนังแก๊งสเตอร์อย่าง Little Odessa และ We Own The Night กลับมุ่งสำรวจจิตใจของตัวละครอย่าง รอย แมคไบรด์ ที่มีปมเรื่องพ่อกับการสำรวจอวกาศที่ทิ้งบาดแผลในจิตใจของเขา
จนภารกิจตะลุยดาวกลายเป็นการตามหาคำตอบที่ค้างคาในใจมาตลอด 30 ปี ซึ่งต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องและการนำเสนอในส่วนนี้ เจมส์ เกรย์ แทบจะลอกสไตล์การเล่าเรื่องของ เทอร์เรนซ์ มาร์ลิค มาชัดมาก ยิ่งพอได้แบรด พิตต์มาเล่น ภาพของ Tree of Life ก็แจ่มชัดขึ้นมาทีเดียวจนอาจทำให้คนที่คาดหวังมา ดูหนังฟรี ไซไฟแอ็กชันตะลุยอวกาศเหวอปนหาวหวอดๆ ได้เหมือนกัน ที่สำคัญดราม่าพ่อลูกในเรื่องยังบางเบาเกินกว่าเราจะเชื่อหรืออินตามตัวละครไปได้
แต่กระนั้นเกรย์เองก็เหมือนรู้ตัวว่ากำลังทำหนังไซไฟอวกาศอยู่ก็เลยใช้บริการ ฮอยต์ ฟาน ฮอยเตมา ที่เคยถ่าย Interstellar ให้เสด็จพ่อโนแลนมาก่อนมารับผิดชอบในส่วนงานภาพ แต่ปัญหาก็ตามมาอีกนั่นแหละ เพราะภาพอวกาศของหนังก็ไม่ได้หนีจาก Interstellar นัก มิหนำซ้ำยังมีภาพบางส่วนไปคล้ายคลึงกับ Gravity รีวิวหนังน่าดู ไซไฟอวกาศดีกรีออสการ์
รีวิวหนัง ภารกิจตะลุยดาว หนังดีบอกต่อ
ยังไม่พอเกรย์เหมือนกลัวหนังตัวเองจะดูอาร์ตไปถึงขั้นเอาใจคนดูด้วยการใส่ฉากสยองขวัญที่อยู่ๆ ก็ใส่มายังทำให้นึกถึงงานคลาสสิกทั้ง Alien และ Event Horizon ไม่น้อยรวมถึงใส่ฉากแอ็กชันแบบไม่สนที่มาที่ไปอยู่ดีๆก็มีการปล้นชิงกันบนดวงจันทร์ซึ่งแม้จะไม่ค่อยเข้ากับเนื้อหาในภาพรวมนักแต่อย่างน้อยก็ช่วยปลุกคนดูจากอาการง่วงหงาวหาวนอนในส่วนพระเอกพร่ำพรรณนาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ข้อสังเกตสำคัญสำหรับคนที่ผ่านตาหนังไซไฟอวกาศยุค 90 มาก่อนคงหนีไม่พ้นการแคสติงบรรดานักแสดงที่เคยเล่นหนังไซไฟอวกาศมาก่อนทั้ง ทอมมี ลี โจนส์ และ โดนัลด์ ซุตเธอร์แลนด์ จาก Space Cowboy หรือ ลิฟ ไทเลอร์ จาก Armageddon
ที่มาร่วมจอกับ แบรด พิตต์ ที่ไม่เคยสวมชุดอวกาศมาก่อนแบบพยายามบอกเป็นนัยอ้อมๆว่า AD Astra จะพยายามสร้างภาพของหนังอวกาศที่แตกต่างจากรสชาติที่คุ้นเคย ซึ่งก็ยอมรับในความใหม่ของหนังที่แม้จะมีกลิ่นงานดังๆอยู่บ้าง แต่อย่างว่ารสชาติใหม่นี้ก็อาจไม่ได้ถูกใจคนดูทุกคนเท่าไหร่นัก
อย่างที่บทความในแบไต๋ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงที่มาของชื่อเรื่อง AD Astra ไว้ว่ามาจากวลีดังที่กลายเป็นคำขวัญประจำกองทัพอากาศหลายประเทศอย่าง Per aspera ad astra ที่กล่าวถึงการตะลุยความยากลำบากไปสู่ดวงดาว ซึ่งนอกจากจะกล่าวถึงภารกิจของพระเอกแล้ว ยังอาจหมายถึงความยากลำบากของคนดูในการทำความเข้าใจกับหนังที่บอกตรงๆเลยว่าเป็นหนังที่ดูไม่ง่ายเท่าใดนัก
นี่เป็นหนังไซไฟอวกาศที่อาจจะเรียกได้ว่าตั้งตัวเองอยู่บนสมมุติฐานข้อมูลจริงมากที่สุดในปัจจุบัน และเรื่องราวในหนังก็ไม่ได้ไกลเกินปัจจุบันไปสักเท่าไหร่นัก หนังเล่าถึงช่วงที่มนุษย์เริ่มออกสำรวจดวงดาว และก็เริ่มตั้งอณานิคมนอกโลก มีการท่องเที่ยวอวกาศเป็นธุรกิจจริงจังเหมือนสายการบิน
รีวิวหนัง ภารกิจตะลุยดาว หนังน่าดู
หนังพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคต่อไป เมื่อมนุษย์เริ่มใช้ชีวิตนอกโลก อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? สังคมในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร? ซึ่งหนังได้จำลองสมมุติฐานความเป็นไปได้มากที่สุด มาวางไว้เป็นเรื่องราวเติมเต็มเส้นเรื่องหลัก ที่เป็นภารกิจการเดินทางตามหาพ่อที่หายไปที่ดาวเนปจูน
รีวิวหนังน่าสนใจ เปิดเรื่องมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจกับภารกิจแรกของตัวเอก บนสถานีอวกาศที่ตั้งสูงจากพื้นโลกจนทะลุชั้นบรรยากาศ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ต้องร่วงลงมาจากเกือบนอกโลกขนาดนั้น จะเอาชีวิตรอดได้ยังไง ซึ่งหนังทำได้สมจริงน่าเชื่อถือมาก และเป็นฉากเปิดเรื่องที่ลุ้นระทึกตื่นเต้นที่สุดของเรื่องแล้วด้วย
ซึ่งหลังจากนั้นหนังกลับดำเนินไปแบบค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ โดยจำลองอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ในอวกาศหลายๆ อย่างมาผูกรวมกันไว้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง ซึ่งก็มีบรรยากาศคลุมเคลือประกอบเรื่องราวเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง ให้คนดูรู้สึกสงสัยว่าที่ตัวเอกเจอติดๆ ทุกช่วงแบบนี้มีที่มาจากไหน และ เกี่ยวข้องกับความลับที่ทำให้พ่อของพระเอกหายตัวไปหรือไม่?
สำหรับเส้นเรื่องหลักการตามหาพ่อที่หายไปในระหว่างภารกิจค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก ชวนให้คิดถึงหนังหลายๆ เรื่องในอดีต ที่แทบทุกเรื่องจะแต่งเติมจินตนาการต่างๆ เข้าไปให้ดูหวือหวา มีความเป็นไซไฟสูงกว่าข้อเท็จจริงในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่กับ Ad Astra ที่พยายามคงไว้ซึ่งข้อเท็จจริงกับเรื่องราวที่เป็นไปได้จริงๆ ในปัจจุบันมาผูกกันเป็นเรื่องราว
ซึ่งเมื่อหนังเลือกตั้งอยู่บนสมมุติฐานความสมจริงมากเช่นนี้ ก็ทำให้เรื่องราวในหนังออกแนวไซไฟโลดโผนเกินจริงมากไม่ได้ หนังกลายเป็นแนวเรียบง่ายธรรมดาในสายตาคนดูหนังทั่วไป (ที่อาจจะมีหาวหลับได้) แต่ถ้ากับคนที่สนใจเรื่องราววิทยาศาสตร์มาสักหน่อย จะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกกว่า พร้อมคิดตามไปกับสิ่งที่หนังจำลองให้เห็นว่าเป็นจริงได้หรือไม่
เมื่อเขาต้องหาวิธีหยุดภัยร้ายที่กำลังมาถึง
ยกตัวอย่างเช่น การยิงปืนในอวกาศ ศพในอวกาศเน่าเปื่อยหรือไม่ ผลกระทบจากการเดินทางอวกาศมีอะไรบ้าง ภาวะจิตใจสำคัญยังไงกับนักบินอวกาศ ซึ่งเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้หนังทำออกมาได้อย่างสมจริงน่าเชื่อถือ หรือแม้ว่าอาจจะมีเรื่องที่ดูไม่จริงอยู่บ้าง
แต่หนังก็ทำให้เราคล้อยตามเชื่อจนได้ โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายซับซ้อนให้ปวดหัวแบบเรื่องอื่นๆ ซึ่งนี่เป็นข้อดีและก็เป็นข้อเสียไปพร้อมกัน เพราะกลายเป็นหนังไม่หวือหวา ขาดจินตนาการล้ำยุคตามแบบหนังไซไฟเรื่องอื่น จนทำให้ดูจืดไปจริงๆ ยิ่งถ้าเทียบกับหนังอย่าง The Martian ที่จำลองการเอาตัวรอดบนดาวอังคาร ยังดูมีความเป็นเรื่องราวหนังไซไฟตื่นเต้นสูงกว่าเรื่องนี้มาก
โลกของ Ad Astra แม้จะเป็นอนาคต แต่ก็เป็นอนาคตที่เอาจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับปัจจุบันนัก หนังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ก็ยังคงพยายามสร้างสังคมแบบเดิมๆ บนดวงดาวที่ไปถึง คือต่อให้เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน สังคมมนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ในหนังจะเห็นการแก่งแย่งทรัพยากรจากดวงจันทร์ สังคมบนดวงจันทร์ที่แออัดไปด้วยผู้คนมาเที่ยวจนน่าเบื่อ แบบที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลก ซึ่งหนังใส่มาเป็นประเด็นเสริมเรื่องราวให้สมจริง พร้อมทั้งเป็นการเสียดสีวงการธุรกิจไปในตัว
หนังให้ตัวเอก รอย แม็คไบรด์ เป็นตัวละครเดี่ยวเดินหน้าหนังทั้งเรื่องด้วยคนๆ เดียวทุกช่วงเวลา และก็เป็นบทที่ถูกล็อคไม่ให้แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรนัก โดยอิงกับความสมจริงที่ว่า นักบินอวกาศถูกฝึกให้ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึกออกจากหน้าที่โดยเด็ดขาด ทุกการตัดสินใจต้องใช้แต่ข้อมูลเท่านั้น และยังมีการตรวจจับชีพจรของนักบินอวกาศเป็นระยะๆ
ระหว่างปฏิบัติภารกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตัดสินใจที่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หนังจึงใช้เสียงความคิดสะท้อนเป็นคำพูดแสดงอารมณ์ให้ผู้ชมฟังว่าเขาคิดยังไงกับสิ่งที่พบเจอ ซึ่งชีวิตนักบินอวกาศก็เหมือนสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ส่วนทอมมี่ ลี โจนส์ ที่มารับบทพ่อนั้น แทบจะเป็นเหมือนดารารับเชิญมากกว่า เพราะกว่าจะออกมาเต็มๆ ก็เกือบท้ายสุดของเรื่องราว แต่ก็ยังคงการแสดงสุดยอดไว้เช่นเดิม กับบทนักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตัวเองให้กับการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาลมากกว่าสิ่งอื่นใด
ซึ่งฉากพบกันครั้งแรกของพ่อลูกนี้ก็กลายมาเป็นเหมือนไคลแม็กซ์ให้คำตอบกับเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงคำตอบของเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่? ผ่านการชี้ชวนให้คิดเปรียบเทียบกับชีวิตครอบครัวของตระกูลแม็คไบรด์ ที่ต่างอยู่กันไกลแสนไกล (รอยอยู่ห่างกับภรรยาแทบจะทั้งชีวิต พ่อของรอยก็อยู่ห่างกับลูกทั้งชีวิตเช่นกัน) ซึ่งคำตอบสุดท้ายที่หนังเลือกนำมาใช้ คงมีทั้งคนชอบและเกลียดในทันที
สิ่งที่หนังทำมาเกือบทั้งเรื่องถือว่าน่าประทับใจในแง่ความสมจริงบนโลกภาพยนตร์ แต่ช่วงสุดท้ายเหมือนหนังหาทางออกไม่ได้นักกับการทำให้เรื่องราวดำเนินไปตามจริง กลายเป็นว่ามีคำถามเกิดขึ้นกับช่วงตอนจบขึ้นมาทันที ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่รู้สึกว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่หนังทำเหมือนง่ายๆ ตัดจบแบบไม่มีคำอธิบายรายทางที่ดีนัก จนกลายเป็นจุดบอดใหญ่สุดของเรื่องราวทั้งหมดอย่างน่าเสียดายจริงๆ
อย่าลืมไปติดตามรับชมกันนะ
นี่เป็น รีวิวหนังดีน่าดู ที่อาจจะเรียกได้ว่าสมจริงที่สุดตั้งแต่มีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็น่าชื่นชมที่หนังทำได้จริงๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งบทหนังก็มีปัญหาที่ว่าจงใจเซ็ทเรื่องราวอุบัติเหตุความผิดพลาดเข้ามาหาพระเอกอย่างทื่อๆ เพื่อที่จะโชว์ความสมจริงที่ว่านั้นกับคนดู
แต่กับเรื่องราวแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ว่าได้ แต่ยังดีที่หนังมีปมประเด็นลุ่มลึกผูกโยงจิตใจของนักบินอวกาศเข้ามาไว้กับเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งปมความพร้อมของจิตใจถูกนำมาขยายเล่นกับภารกิจต่างๆ ในเรื่องตลอดเวลา และกลายเป็นส่วนเฉลยสำคัญของเรื่องราวทั้งฝั่งพระเอกและพ่อได้อย่างลงตัว แต่ก็อาจจะไม่ถูกใจคนดูที่จินตนาการไว้ไกลกว่านั้นก็เป็นได้ครับ
ความคิดเห็นหลังดูจบ อึนมากฮะ จบแบบมึนๆ งงๆ คือพูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เราถูกตัวอย่างหนัง “หลอก” เข้าอย่างจัง เพราะจากตัวอย่างเราคาดหวังว่าหนังมันจะต้องเป็น Action Sci-Fi ที่ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่องแน่ ยิ่งได้ ทอมมี่ ลี โจนส์ กับ แบรด พิตต์ มาร่วมแสดงด้วยแล้ว ต้องมันส์แน่ๆ
แต่กลับกลายเป็นว่าฉากแอ็คชั่นในเรื่อง เอาเข้าจริงๆ มีอยู่ไม่เกิน 3 ฉาก ฉากละไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น ส่วนที่เหลือหนังไปเล่นกับประเด็นปมในจิตใจและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างของตัวละคร รอย ซะมากกว่า
และที่แย่ยิ่งกว่าคือความ “พยายาม” ในการผสมผสานความเป็นดราม่า, ฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ และภารกิจลุ้นระทึก เอาไว้ด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่มีความเข้ากันเลย ตลอดเวลาที่ได้ดู อารมณ์มันแทบจะกระโดดไปกระโดดมา เหมือนคนเป็นไบโพลาร์อ่ะนะ จึงกลายเป็นว่าเราไม่สามารถที่จะอินกับอะไรในเรื่องที่ต้องการจะสื่อสารออกมาได้เลย
พลังดาราของ แบรด พิตต์ และ ทอมมี่ ลี โจนส์ แทบจะไม่สามารถช่วยอะไรหนังได้เลย คือ เอาใครมาเล่นก็ได้อ่ะฮะ จริงๆ ถ้าหนังตัดส่วนที่เป็นแอ็คชั่นออกไป และเน้นไปยังปมปัญหาจริงๆ เน้นดราม่า, ปรัชญาและจิตวิทยา ไปเลยเพียว น่าจะออกมาดีกว่านี้มาก